การขนจักรยานขึ้นรถไฟทำให้เ ราไปปั่นได้ไกลขึ้น ทำได้ไม่ยาก ไม่แพงด้วย ขั้นแรก อยากไปปั่นที่ไหน เช็คตารางเวลารถไฟที่ www.railway.co.th/ checktime/checktime.asp ดูที่เป็นรถเร็ว จะมีตู้สัมภ าระ ส่วนถ้าเส้นทางไหนไม่มีรถไฟที่มีตู้สัมภาระผ่านเลย สามารถยกจักรยานไปไว้ตู้เดียวกับผู้โดยสารเลย ดูว่าสถานีที่ใกล้ที่ที่เราจะไปคือสถานีอะไร ถ้าอยากปั่นเยอะๆก็เอาสถานีไกลๆหน่อย ดูใน Google Maps เอา
เลือกนั่งชั้น 3 เพราะอยู่ติดกับตู้สัมภาระ ค่าโดยสารก็ตามระยะทาง ค่าจักรยานต่างหาก ถ้าแค่ลพบุรี,สระบุรี ค่าโดยสาร 50 บาท ค่าจักรยาน 90 บาท (ถ้าไม่ได้ทำเรื่องโหลดจักรยานจะโดนเก็บบนรถไฟ 100 บาท) ถ้าเป็นรถไฟฟรีคนก็ขึ้นฟรี เ สียแค่ค่าจักรยาน ถ้าเป็นจักรยานพับจะไม่ขนเข้าตู้สัมภาระก็ได้ ไม่ต้องเสียค่าระวาง เอาไปวางข้างเก้าอี้นั่ง หรือแถวก๊อกน้ำในตู้โดยสารได้เลย แต่อาจจะโดนเก็บค่าสัมภาระขนาดใหญ่ 10-20 บาท แล้วแต่สาย
ถ้าเป็นรถไฟสายที่ไม่มีขบวนที่มีตู้สัมภาระผ่านเลย เขาก็ให้เราเอาขึ้นไปในตู้เดียวกับผู้โดยสารนั่นแหละ เสีย 100 บาท
การซื้อตั๋วก็ไปซื้อตั๋วที่ช่องซื้อตั๋วป กติ ถามเขาให้แน่ใจว่ามีตู้สัมภาระนะ แล้วเข็นจักรยานไปจุดรับสัม ภาระ จ่ายตังเสร็จเข็นไปรอยกสัมภาระขึ้นรถไฟ กระเป๋าทัวริ่งที่ติดกับจักรยานปลดออกด้วย 1.เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สิน 2.เดี๋ยวจะยกไม่ไหว เจ้าหน้าที่ผูกให้อย่างดี ตั้งแต่ขึ้นมายังไม่มีอะไรเ สียหาย มีแต่บางคันที่ไฟหน้าหล่นหา ยจากรถกระเทือน ทางที่ดีก็ปลดอุปกรณ์ที่หลุดง่ายเก็บไว้กับเรา
ขนเสร็จเราก็เดินไปนั่งตู้ติดกันถ้าที่นั่งว่าง ถ้าไม่ว่างก็ไปตู้ถัดไป ที่เป็นชั้น 3 เลือกนั่งได้หมด เพราะโดยปกติถ้าเราซื้อตั๋วระยะใกล้ 2-3 ชั่วโมงถึง เขาจะออกตั๋วไม่มีที่นั่งให้ คือเป็นตั๋วยืน ถ้าคนเต็มเราต้องยืน เราจะจองแบบมีที่นั่งเขาไม่ขายด้วยนะ รถไฟไทยสุดยอด ยิ่งถ้าช่วงหยุดยาว อย่าว่าแต่ที่นั่ง ที่ยืนก็ยังหาลำบาก
พอใกล้ถึงเราก็เดินไปรอใกล้ๆตู้สัมภาระ รู้ได้ไงว่าใกล้ถึง? ก็ตอนเช็กตารางเวลามันจะบอกอยู่ว่าขบวนนี้จอดสถานีไหนบ้าง print มาเก็บไว้ดูก็ได้ ลงปั๊บรีบวิ่งไปรอรับจักรยานเลย เจ้าหน้าที่เขาส่งจากบนรถให้ บางทีก็ส่งทางประตู บางทีก็ส่งทางหน้าต่าง ต้องรีบเพราะรถจอดแป๊บเดียว ปกติรถไฟก็เลทอยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นเสียเวลาเพิ่มเพราะเราเลย
ความเสี่ยงคือขากลับ ถ้าตู้สัมภาระเต็มมาตั้งแต่ สถานีก่อนหน้า เราก็อดขึ้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายสถานีอย่างเดียวว่าจะยอมให้เราเอาขึ้นตู้โดยสารได้หรือเปล่า ไม่งั้นต้องรอเที่ยวหน้าอย่างเดียว ยกเว้นรถพับ สบาย ไม่ต้องเข้าตู้สัมภาระ กลับได้ทุกขบวน ถ้าเป็นรถไฟเที่ยวสุดท้ายก็มองหาพาหนะอย่างอื่นเลย เช่นรถทัวร์ รถตู้ ถอดล้อขึ้นได้
เดี๋ยวนี้นายสถานีต่างๆจะรู้เรื่องการเอาจักรยานขึ้นรถไฟดี เพราะมีคนเอาขึ้นกันเยอะ ไม่ต้องกลัว มีอะไรก็ถามได้เลย เอาล่ะ เมื่อรู้ว่าการเอาจักรยานขึ้นรถไฟไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เสาร์-อาทิตย์นี้ไปกันเลยไหม^^
ปล.การส่งเฉพาะจักรยานไปทางรุถไฟ แบบไม่มีคนไปด้วย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เหมือนกัน
ปล.2 กรุณาเกรงใจผู้โดยสารท่านอื่น หากจะเป็นต้องขนจักรยานเข้าตู้โดยสาร ควรทำตัวลีบๆที่สุด^^
เลือกนั่งชั้น 3 เพราะอยู่ติดกับตู้สัมภาระ ค่าโดยสารก็ตามระยะทาง ค่าจักรยานต่างหาก ถ้าแค่ลพบุรี,สระบุรี ค่าโดยสาร 50 บาท ค่าจักรยาน 90 บาท (ถ้าไม่ได้ทำเรื่องโหลดจักรยานจะโดนเก็บบนรถไฟ 100 บาท) ถ้าเป็นรถไฟฟรีคนก็ขึ้นฟรี เ
ถ้าเป็นรถไฟสายที่ไม่มีขบวนที่มีตู้สัมภาระผ่านเลย เขาก็ให้เราเอาขึ้นไปในตู้เดียวกับผู้โดยสารนั่นแหละ เสีย 100 บาท
การซื้อตั๋วก็ไปซื้อตั๋วที่ช่องซื้อตั๋วป
ขนเสร็จเราก็เดินไปนั่งตู้ติดกันถ้าที่นั่งว่าง ถ้าไม่ว่างก็ไปตู้ถัดไป ที่เป็นชั้น 3 เลือกนั่งได้หมด เพราะโดยปกติถ้าเราซื้อตั๋วระยะใกล้ 2-3 ชั่วโมงถึง เขาจะออกตั๋วไม่มีที่นั่งให้ คือเป็นตั๋วยืน ถ้าคนเต็มเราต้องยืน เราจะจองแบบมีที่นั่งเขาไม่ขายด้วยนะ รถไฟไทยสุดยอด ยิ่งถ้าช่วงหยุดยาว อย่าว่าแต่ที่นั่ง ที่ยืนก็ยังหาลำบาก
พอใกล้ถึงเราก็เดินไปรอใกล้ๆตู้สัมภาระ รู้ได้ไงว่าใกล้ถึง? ก็ตอนเช็กตารางเวลามันจะบอกอยู่ว่าขบวนนี้จอดสถานีไหนบ้าง print มาเก็บไว้ดูก็ได้ ลงปั๊บรีบวิ่งไปรอรับจักรยานเลย เจ้าหน้าที่เขาส่งจากบนรถให้ บางทีก็ส่งทางประตู บางทีก็ส่งทางหน้าต่าง ต้องรีบเพราะรถจอดแป๊บเดียว ปกติรถไฟก็เลทอยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นเสียเวลาเพิ่มเพราะเราเลย
ความเสี่ยงคือขากลับ ถ้าตู้สัมภาระเต็มมาตั้งแต่
เดี๋ยวนี้นายสถานีต่างๆจะรู้เรื่องการเอาจักรยานขึ้นรถไฟดี เพราะมีคนเอาขึ้นกันเยอะ ไม่ต้องกลัว มีอะไรก็ถามได้เลย เอาล่ะ เมื่อรู้ว่าการเอาจักรยานขึ้นรถไฟไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เสาร์-อาทิตย์นี้ไปกันเลยไหม^^
ปล.การส่งเฉพาะจักรยานไปทางรุถไฟ แบบไม่มีคนไปด้วย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เหมือนกัน
ปล.2 กรุณาเกรงใจผู้โดยสารท่านอื่น หากจะเป็นต้องขนจักรยานเข้าตู้โดยสาร ควรทำตัวลีบๆที่สุด^^